วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

สถาปนิก Idol รุ่นพี่ลาดกระบัง

สวัสดีค่ะ ข้าพเจ้า นางสาวอิชยา ปิยสุนทราวงษ์ รหัส 54020089

ได้มีโอกาสในการไปสัมภาษณ์ รุ่นพี่ ศิษย์เก่าลาดกระบัง ได้สอบถามเรื่องราวชีวิตของสถาปนิกท่านหนึ่ง
คือ คุณต่อพงศ์ ประดิษฐ์พงศ์ หรือ พี่ต่อ
โดยสัมภาษณ์ที่บริษัท สถาปนิก 49
เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2558



เริ่มจากได้เบอร์ติดต่อของพี่ต่อมาจากอาจารย์น้อยหน่า ต้องขอบคุณอาจารย์มากนะคะที่ช่วยเหลือ
หลังจากนั้น เนย์ก็โทรศัพท์หาพี่ต่อ เพื่อนัดเวลาและสถานที่กัน ซึ่งสรุปได้ว่าไปสัมภาษณ์ที่ออฟฟิส
ที่พี่เขาทำงานอยู่ หรือที่ บริษัท สถาปนิก 49 นี่จึงเป็นครั้งแรกในการเดินทางมาที่บริษัทด้วยตัวเอง
บริษัทดูจากภายนอก น่ารักดีค่ะ กึ่งๆเป็น Home office ไม่ได้เป็นบริษัทอยู่ในตึกใหญ่ บรรยากาศ
โดยรอบร่มรื่นดี โดยบริษัทตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท 26 ค่ะ

เริ่มสัมภาษณ์เลยละกันค่ะ
เนย์ก็แนะนำตัวไปคร่าวๆ แล้วเราก็เริ่มกันเลยค่ะ

สวัสดีค่ะพี่ต่อ ช่วยเล่าประวัติส่วนตัวคร่าวๆหน่อยค่ะ

พี่เริ่มเข้ามาเรียนที่ลาดกระบังตั้งแต่ปี 2531 ก็จบปี 2536 พอจบการศึกษาก็ไปทำงาน
ในตำแหน่ง Architect อยู่ที่บริษัท Axis Architects อยู่หลายปีโดยก่อนออกมาจากที่นั่นก็อยู่ในตำแหน่ง
Design Director ไม่ได้เรียนต่อปริญญาโท แล้วตัดสินใจย้ายมาทำงานต่อที่สถาปนิก 49 โดยมาทำด้านกฎหมายอาคาร ทำให้ไม่ค่อยได้ทำงานด้าน Design เท่าไหร่

พอมางานด้านกฎหมายอาคาร การทำงานก็เป็นเวลามากกว่าตอนทำงานดีไซน์ ที่ต้องทำงานถึงเช้าหรือต้องทำโอที แต่ก็สนุกคนละแบบ

ทำไมถึงมาทำงานด้านกฎหมายได้คะ

พอทำงานไปเรื่อยๆก็จะรู้เรื่องกฎหมายอาคารมากขึ้น (อาจจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี) มันเหมือนหมดแรงกับ
งานดีไซน์ เลยมาทำงานด้านนี้ ต่อจากพี่หิว หรือ คุณคมกฤช ชูเกียรติมั่น
แต่งานดีไซน์จะมีความเป็นตัวตนเยอะกว่า ตอนทำงานดีไซน์ก็มีความสุขเพียงแต่มันเหนื่อยเฉยๆ

สมัยที่ทำงานอยู่ Axis Architect เวลาออฟฟิสได้งานมา จะแจกงานไปที่ Senior แต่ละคน แล้ว Senior ก็จะค่อยแจกงานให้ลูกน้องในทีม ตอนอยู่ที่นู่นออฟฟิสสเกลมันเล็ก เลยจะได้ทั้งออกแบบ ทั้งออกไปประชุมพบกับลูกค้า รวมไปถึงงานก่อสร้าง ทำให้ได้ทำโครงการตั้งแต่ต้นจนจบ
ตั้งแต่มีโฉนดที่ดินมา เจอกับเจ้าของโครงการ รับ Requirement จนก่อสร้างก็ต้องประมูลหาผู้รับเหมา
ไปประชุม site จึงได้ทำทั้ง 2 ส่วน ทั้งส่วนที่เป็นดีไซน์และเป็นส่วนที่เป็น Project Architect
ส่วนใหญ่ก็จะทำงานแบบดูต่อเนื่องกันไปตลอด

โดยออฟฟิสจะมี Desginer  เยอะกว่า เพราะคนที่ดู Project จะสามารถดูพร้อมกันหลายๆ Project ได้
เช่นคนที่ออกไปประชุม site แต่นักออกแบบช่วงที่ดีไซน์ก็จะลงอยู่แค่ Project นั้นๆ

อยู่ออฟฟิสเก่าการทำงานจะค่อนข้างยืดหยุ่นมาก พอตรงไหนมีงานก็จะมีการสลับหน้าที่กันไป
ก็ถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่เราได้ทำงานในทุกๆส่วนทุกขั้นตอน

ทำไมพี่ถึงตัดสินใจออกจากออฟฟิสเดิมคะ

ก็อยากจะพักด้วย อยากมีวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ เพราะบางทีถ้างานไม่เสร็จก็ต้องเข้าไปทำงานวันเสาร์ ทำโอทีวันธรรมดา แต่พอย้ายมา A49 ก็จะทำงานโดยเข้างานและเลิกงานเป็นเวลา คือ เข้า 8.30-17.30 น.
งานมันก็แตกต่างกันแต่ก็สนุกดี จริงงานกฎหมายก็คล้ายๆกับดีไซน์แหละ ที่เราต้องศึกษาตั้งแต่เราเริ่มโครงการ เพราะกฎหมายควรจะศึกษาตั้งแต่ต้นทำยังไงให้มันได้พื้นที่มากที่สุด ทำไงให้มันเวิคมากสุด
ก็เป็นการแก้ปัญหาในหลายๆอย่างตั้งแต่ตอนยังเป็น bubble อยู่เลย

ที่ผ่านมาชอบงานไหนมากที่สุดคะ

ชอบงานดีไซน์แหละ จริงๆผมชอบที่เป็นงานบ้านนะ พอได้ออกแบบงานบ้านมันได้ทำอะไรค่อนข้างเยอะ
ถ้าทำพวก service apartment มันจะมีกรอบที่บีบเราเยอะ เหมือนความสนใจลูกค้าก็จะแตกต่างกัน
ลูกค้าก็อยาจจะไม่ได้สนใจ space ไม่เหมือนกับงานออกแบบบ้าน งานที่เป็นลักษณะ Commercial มากๆ
ก็จะต้องมีการกดตัวเลข ละค่อยๆคบๆหน้าตาเอา

อุปสรรคในการประกอบวิชาชีพมีอะไรบ้างคะ

ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ก็มีเป็นบางช่วง ช่วงที่ออกไปทำงานเอง เคยทำงานที่บ้านอยู่พักหนึ่ง ทำฟรีแลนซ์กับเพื่อน แต่ตอนนี้ก็ยังมีทำเองส่วนตัวอยู่

มีปัญหาในการร่วมงานกับผู้อื่นบ้างไหมคะ

ไม่ค่อยมีปัญหานะ มีก็จัดการไป ผมไม่ค่อยทะเลาะกับใครนะ แต่ผมว่าอาชีพสถาปนิกเป็นเหมือนตัวกลางที่คอยดูหลายๆอย่าง ถ้าเราแข็งมากๆก็จะลำบาก คนกลสงต้องคอยคุยกับเจ้าของโครงการ
วิศวกร เจ้าหน้าที่ ผมคิดว่าคนที่เป็นสถาปนิกต้องเป็นคนที่รู้จักการประนีประนอม
แต่ถ้าเป็นพวก Great Architect ก็จะมีความคิด และ Strong ทางความคิด นั่นก็เป็นในอีกลักษณะหนึ่ง

พี่มีข้อคิดในการทำงานยังไงบ้างคะ

ผมว่า ความรับผิดชอบ สำคัญที่สุด ไม่ว่าเรื่องเวลา เรื่องงาน เรื่องจรรยาบรรณ  แล้วก็มุมมองของเรา
ก็สำคัญ เช่น บางคนชอบคิดว่า เจ้าของงานงี่เง่าว่ะ หรือเจ้าหน้าที่เขตงี่เง่าจังเลย คุณอาจจะเคยเห็นคน
ที่ชอบว่าคนอื่นแย่หมดเลย  ผมว่ามีคนคิดแบบนี้เยอะนะ อยากให้น้องๆระวังเรื่องนี้ อย่าให้มันมาครอบงำคุณ คุณต้องคิดเสมอว่า คุณทำงานให้ลูกค้า คุณต้องทำให้เขามีความสุข ตราบใดที่คุณทำให้เขาไม่มีความสุข คนที่ผิดผมว่าน่าจะเป็นคุณนะ พยายามมองคนอื่นในแง่ดี เพราะทุกคนก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง

ตั้งแต่ที่พี่จบมาเห็นความเปลี่ยนแปลงในงานสถาปัตกรรมของบ้านเราอย่างไรบ้างคะ

ผมว่าดีขึ้นนะ เด็กรุ่นใหม่มีโอกาสได้ออกแบบงานที่มันสเกลใหญ่ขึ้นมาก อย่างเมื่อก่อนจบมาใหม่ๆได้ออกแบบ club house ก็ดีใจแล้ว โอกาสมันกว้างกว่า โดยบ้างอาจจะออกแบบตาม fashion แต่ไม่ตาม fashion ก็เยอะนะ การออกแบบมี concept เยอะขึ้นนะ

สมัยก่อนอาจจะแย่กว่านี้ด้วยซ้ำที่จะดูแค่หน้าตาอาคาร ฟาสาด แต่เดี๋ยวนี้งานที่มี Space ดีดีก็เยอะขึ้น
มีออฟฟิสเล็กๆที่ทำงานดีดี โดยภาพรวมผมว่าดีขึ้นนะ
ตอนที่ผมจบใหม่ เศรษฐกิจมันดีมาก ออกแบบอะไรไปลูกค้าก็เอาหมด คือรีบรีบทุกอย่าง รีบเพื่อยื่นขออนุญาต รีบสร้าง จะไม่ทำแบบให้เคลียก่อนค่อยไปแก้หน้างาน ลูกค้าอยากให้เริ่มเร็วๆ เพราะผมจบก่อน
ช่วงฟองสบู่ ช่วงนั้นก็จะโปรเจคเยอะมีทั้งได้สร้างจริงบ้างไม่จริงบ้าง โดยส่วนใหญ่จะเป็นประเภทงาน Commercial และ Condominium จริงๆช่วงนั้นคอนโดก็ล้นตลาดนะ แต่ก็ทำทำทำไป พอหลังจากฟองสบู่แตก คนก็เริ่มแผ่ไปหลายด้านมากขึ้น คนเริ่มกลับมาอยู่กับความเป็นจริงมากขึ้น
เพราะช่วง ปี 3 ปี 4 นี่มีงานรับตัดโมเดล เขียนตีบมือ คืองานมันล้นมายังนักศึกษา บางครั้งเขาต้องการแค่ตีบไปขายโปรเจค เท่านี้พอละ ผมว่าสมัยนั้นความปราณีตมันน้อย แต่สมัยนี้ก็ดีขึ้นละ
ถึงตอนี้รีบก็ไม่รีบเท่าตอนนั้น ถึงรีบแค่ไหนก็เป็นผลงานที่จะสร้างจริง Developer ก็จะคิดให้รอบคอบก่อน เพราะมันก็ถือเป็นผลงานเป็นชื่อเสียงของเขา เขาก็พลาดไม่ได้เช่นกัน

พี่คิดว่าสถาปนิกรุ่นใหม่ที่จบจากลาดกระบังเป็นอย่างไรบ้างคะ

จริงๆที่นี่ (A49) ไม่ค่อยมีเด็กลาดกระบังมาสมัครนะ รุ่นที่ผมได้สัมผัสก็จะเป็นพวกที่จบมา 6-7 ปีแล้ว
คุณภาพก็ดี ทำงานขยันดี สู้งานไม่จับจด แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่ค่อยมาสมัครกัน

แล้วพี่คิดว่าภาพรวมของเด็กจบใหม่เป็นอย่างไรคะ

ผมว่าเด็กเดี่ยวนี้ค่อนข้างชัดเจนว่าเขาชอบอะไรไม่ชอบอะไร เมื่อก่อนคนจะจบมาละลองทำงานดูก่อน
ผมว่ามันอาจจะเร็วไปที่จะตัดสินใจว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร เหมือนพอเขาไปทางที่เขาสนใจเฉพาะด้าน
เช่นพวกทำ 3D ก็จะทำอยู่แค่ 3D พอทำไปมากมาก ก็จะกลับมาทำดีไซน์ลำบาก จริงๆค่าตอบแทนมันสูงนะ แต่ผมว่ามันเร็วไปหน่อยที่จะมองแค่รายได้อย่างเดียว

แต่เด็กสมัยนี้คนที่มือดี ก็จะหลุดออกมาจากเด็กปานกลางเลย ก็แปลกนะ เพราะสมัยผมจะจบมาเท่าๆกัน
แต่เดี๋ยวนี้มันจะค่อนข้างต่างกันมาก เห็นได้ชัดจากการที่ผมตรวจข้อสอบกส. ดูรู้เลยว่าคนที่จบมามีความรู้ก็จะเป็นลักษณะหนึ่ง คนที่จบมาแล้วไม่มีความรู้อะไรเลยเหมือนไม่ได้เรียนมาก็เป็นอีกแบบหนึ่ง
ก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมมาตรฐานมันต่างกันเยอะไป แต่ผมก็เข้าใจว่าบางคนไม่ได้คาดหวังว่าพอจบมาจะมาประกอบวิชาชีพก็เยอะนะ แต่ถ้าสมัยผมจบมาก็จะความรู้ความสารถเท่าๆกันหมด

ถามย้อนกลับไปค่ะ ทำไมพี่ถึงเลือกมาเรียนด้านสถาปัตยกรรมได้คะ

ผมก็เหมือนเด็กทั่วไปแหละ ชอบวาดรูป และเราก็ยังอยากเรียนวิทย์ และคณะนี้ก็เป็นคณะเดียวที่วาดรูปและก็ยังเรียนสายวิทย์อยู่ ก็เลยเลือกคณะนี้แหละ สมัยนั้นก็จะมีแค่ 3 มหาวิทยาลัย จุฬาฯ ศิลปากร ลาดกระบัง สมัยผมสอบเอนทรานซ์ เหมือนเลือกได้ 5-6 อันดับ ผมก็ได้ลาดกระบังมา ก็ดีนะ ที่ได้เรียนลาดกระบัง

สมัยนั้นพี่อยู่หอพักไหมคะ หรือว่ากลับบ้าน

ปี 1 ผมเข้ามาก็อยู่หอ อยู่คณะ เมื่อก่อนอยู่หอตรงไปรษณีย์ ละเข้าคณะทางเรือ แต่ก็มีบางคนไปกลับบ้าน
แต่ผมชอบอยู่คณะ มันได้มีเวลาทำอย่างอื่นอีกเยอะ ได้เรียนถ่ายรูป ก็ไม่ต้องไปแย่งกับเขา สมัยนั้นไม่ค่อยปิดตึก ไม่ค่อยซีเรียส สมัยนั้นมีแค่ตึกสี่ชั้น สตูสถ. สน. ตึกกลางน้ำ ตึกทรงไทย และก็โรงถ่าย
นิเทศน์ เมื่อก่อนห้องสมุดจะอยู่ตึกกลางน้ำ

กิจกรรม รับน้องสมัยนั้นเป็นอย่างไรบ้างคะ

สมัยนั้นปี 3 ผมเป็น วาร์คเกอร์ ก็สนุกดี ผมก็เข้ามาทำเชียร์ ตอนปี 1 ที่รับน้องก็ไม่ได้สนใจมาก แต่ก็เขาให้เข้าก็เข้า แต่พอมาปี 3 ได้เข้ามาทำก็สนุกดี ได้แกล้งน้อง สมัยนั้นมีแค่ 4 ภาควิชา สถ. สน. ศอ. และ
นิเทศฯ สมัยนั้นจะสนิทกับภาคอื่นมาก คนอื่นเขาจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมสนิทกัน จริงๆเดี๋ยวนี้ก็ยังนัดเจอกันเรื่อยๆนะ เพื่อนศิลปากรก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าสนิทกันได้ไง เรียนก็คนละแบบไม่ได้เรียนด้วยกัน
แต่ผมว่ามันดีนะ ได้สนิทกับเพื่อนหลายๆแบบมันช่วยเหลือกัน จริงๆก็สนิทจากการรับน้องแหละ ด้วยควมที่ปลูกฝังต่อต่อกันมานะ เมื่อก่อนผมก็เดินเล่นในคณะ ที่ตอนนี้ทำนาอยู่บนหลังคา ผมก็ไม่ค่อยเดินข้างล่าง เดินข้างบน ไปโผล่ตามหน้าต่างศอ. สน. เดินไปเดินมากลางคืน นั่งทำงานกัน
ผมว่าคณะเราดีนะ ที่ไม่ซีเรียสเรื่องสถานที่ ผมว่าดีนะ ทำให้เด็กได้ทำงานด้วยกัน มันก็จะไม่เบื่อ
ถ้าทำงานคนเดียวที่บ้านก็อีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าอยู่คณะก็อีกแบบหนึ่ง ได้เรียนรู้เพื่อนมากขึ้น เช่น แบบเปิดเพลงเสียงดังน่ารำคาญ ไอ้นู่นนอน ไอ้นี่ตื่น จริงๆผมว่าดีนะ เหมือนได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น
เพราะเวลาทำงานจริงก็ต้องทำงานกับคนอื่น มันไม่มีงานที่ทำส่วนตัว มันไม่ใช่เรื่องวิชาเรียนอย่างเดียว
มันเป็นเรื่องของการใช้ชีวิต ทำให้ผมคิดว่าเด็กลาดกระบังดีนะ จะเข้ากับคนอื่นได้ง่าย

สมัยนั้นต่อภาควิชาน่าจะมีประมาณ 30 คน แล้วก็จะรู้จักกันหมด ก็จะมีพวกแปลกๆบ้าง เช่น กินเหล้ากันใต้ตึก ทำนู่นทำนี่ บางคนก็นั่งเขียนตีบใต้ตึก ยุคผมผมว่าอาจารย์น่ารัก อาจารย์จะคอยสังเกตลูกศิษย์ว่าเป็นยังไง อาจารย์รู้หมดว่าใครคบกับใคร ใครเลิกกับใครอาจารย์จะรู้ไปหมดเลย เคยมีครั้งนึง
วันมอบตัวของนักศึกษาใหม่ อาจารย์ก็แต่งตัวใส่ชุดนักศึกษา เนียนมากับเด็กๆ
อาจารย์หลายท่านจะน่ารักมาก อย่างตอนผมทำทีสิส ก็มีปัญหากับอาจารย์ที่ปรึกษา ได้เลือกเองนะ แต่เลือกพลาด ก็ไม่รู้จะปรึกษาใคร จำได้ว่าสมัยนั้นต้องใช้โทรศัพย์ตู้สาธารณะ ก็หยอดตู้โทรหาอาจารย์อีกท่าน อาจารย์ก็ช่วยพูดบอกให้ทำไป แกสอนเยอะ ไม่ได้สอนแค่วิชาเรียน นั่งใต้ตึกก็มีการคุยเล่นกันทั่วไป เช่นคุณลองไปหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านสิ ผมว่ามันดีมากเลยนะ

Thesis พี่ทำอะไรคะ

ตอนนั้นผมทำโรงเรียนอนุบาล ผมไม่ชอบอะไรหลายอย่างที่เป็นอยู่เดิม เหมือนต้องทำงานสเกลใหญ่ถึงจะเป็นงานที่เจ๋ง เช่น งานโรงพยาบาล เหมือนต้องทำงานใหญ่ถึงจะได้ A เพลทต้องเต็ม โมเดลต้องใหญ่
มีอยู่ปีหนึ่งเห็นพี่ทำโรงพยาบาลกัน 5-6 คน ผมว่าแค่นั่งทำแปลนก็เหนื่อยแล้ว ผมเลยตัดสินใจว่าจะทำอะไรที่ไม่ใหญ่มาก ทำอะไรที่เล็กๆได้แต่ยังเป็นทีสิสได้ จริงผมอย่างให้แปลนแต่ละแผ่นอยู่ในกระดาษแค่ A2 นะ เพราะสมัยนั้นต้องใช้โต๊ะดราฟ แล้วถ้าใช้กระดาษเต็มโต๊ะจะไม่เหลือที่วางของ ผมเลยเลือกไซต์เลือกโปรเจคที่มันลงกระดาษนี้ได้ ผมทำทีสิสคนเดียวเกือบหมดนะ ผมไม่ใช้ Air-Brush เลือกใช้เทคนิคสีไม้หมดเลย ก็สนุกดีนะ มันเริ่มตั้งแต่ทำ Pre-Thesis ผมเลือกจะทำเพลต เป็น Freehand หมดเลย ไม่ได้ใช้เครื่องมือ เพราะเขียนบรรยากาศเมืองเก่า เยาวราช การที่ผมเลือกทำ Thesis เล็กๆ ผมได้ทำเองคนเดียว มันมีความสุขมาก ผมมีความสุขกับทีสิสผมมาก ผมไม่อยากพึ่งใคร บางคนนี่รุ่นพี่รุ่นน้องมาเต็มบูทเลยนะ แต่คนไหนไม่มีสายรหัสก็จะจ๋อย ถ้าเรารอให้พี่มาช่วยผมว่าแย่แน่ ผมเลยทำให้มันเสร็จเลยดีกว่า ผมทำเสร็จก่อนวันส่งด้วยนะ ชิว ชิวมาก เขาให้เวลาลงเพลทประมาณ 2-3 อาทิตย์นะ
สมัยนั้นงานมันเขียนมือนะ ถ้าสมมติแปลนตรงไหนฟิคแล้วก็ลงไปก่อน แต่บางจุดยังไม่โอเคก็ร่างๆไว้ก่อน เดี๋ยวนี้ก็สบาย มีเวลาทำมากขึ้น

ในการทำงานจริง ใช้โปรแกรมอะไรในการทำงานคะ

ที่นี่ก็พยายามจะใช้เรวิท แล้วตั้งเป้าว่าจะทำเป็น Revit ให้หมด  ผมว่าเวิคนะ มันเป็นอะไรที่มั่วไม่ได้
เหมาะกับงานสมัยนี้ เช่น รูปทรงมันเป็นรูปไข่ แต่ก็ไม่ซีเรียสนะ บางคนจบมาก็ค่อยมาหัดก็มี แต่ sketchup ก็เหมาะสำหรับการ sketch จริงๆ พอถึงจุดหนึ่งผมว่าคุณก็ต้องหยุด และเปลี่ยนเครื่องมือ

พี่ได้กลับไปลาดกระบังบ้างไหมคะ

ไม่ได้กลับไปเลยนะ แต่กับเพื่อนๆก็ยังนัดเจอกันเรื่อยๆ รุ่นผมเป็นอาจารย์กันเยอะ ก็อยากกลับไปนะ แต่ยังไม่มีธุระเข้าไป จริงๆก็อยากเข้าไปพูดให้ฟัง ผมว่าเราให้ความสำคัญกับรุ่นพี่เก่าน้อยไปหน่อย ให้ความสำคัญกับแค่รุ่นๆเดียวกันมากกว่า อย่างเช่น จุฬาฯ ศิลปากร ยังเอาพี่เล็ก บุญณาคไปสอน เราน่าจะเอาพี่เก่าลาดกระบังไปสอนบ้าง เหมือนเราไม่ค่อยเลือกพี่เก่ามาเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ได้บอกว่าไม่ดีนะ
แต่ผมว่าถ้าคณะเอาพี่เก่าเข้าไปสอน ก็จะเป็นองค์กร เราก็อาจจะสนิทกันขึ้นนะ

รุ่นผมอาจจะยังไม่ค่อยมีสถาปนิดเจ๋งๆอะนะ แต่พอมารุ่นคุณ เราก็เริ่มทรัพยากรที่เจ๋งๆมากขึ้น เช่น Habita Architect อย่างพี่ศรัณย์ สุนทรสุข ที่มีความรู้เฉพาะด้าน เคยมีใครคิดจะเชิญพี่รัณมาพูดไหม
ผมว่าน่าจะเชิญเขามาให้ความรู้ ผมว่ามีอีกหลายคนนะ ผมว่าคณะน่าจะให้ความสำคัญกับรุ่นพี่เก่ามากกว่านี้

ผมว่าตอนเรียนมันแค่ฝึกวิธีคิดของคุณนิดๆหน่อยๆ ที่เหลือต้องมาเรียนรู้ในออฟฟิสอีกมาก

ตอนเรียนกับตอนทำงานต่างกันมากไหมคะ

ผมว่าต่างกันมาก มากเลยนะ ตอนเรียนผมสนใจแค่หน้าตา ฟาสาด ไม่ค่อยสนใจเรื่องของ space ผมไม่เคยขึ้นแบบด้วย space เลย แต่เข้านายเก่าผมบอกเห้ยต้องลองคิดนะ ว่าเปิดเข้าไปอยากได้ space แบบได้เดินต่อไปจะเป็นแบบไหน แล้วเอา space มาต่อกันมาเชื่อมกัน มันค่อนข้างแตกต่างจากตอนเรียน ที่เอา function  มาต่อกัน เมื่อคุณมี space ที่ดีมาเชื่อมกันแล้ว ค่อยเอา function มาใส่

สมัยเรียนก็เฮฮาดี กินเหล้าเมายาในคณะ กินกับอาจารย์ ก็สนุกดี ผมกินเหล้ากับเพื่อน แล้วเดินเล่นในคณะ ก็เดินไปเจอวงหนึ่ง ก็ไปนั่งกินกับเขา ละเดินไปอีกวงหนึ่ง เลยทำให้สนิทกันหมดมั้ง

สมัยเรียนได้ทำโปรเจคอะไรบ้างคะ

ก็ปกติทำบ้าน โฮมออฟฟิส โรงแรม ก็ค่อยๆใหญ่ขึ้น แต่ผมคิดนะว่าบางทีงานสเกลใหญ่ก็ไม่ยังไม่ต้องรู้ตอนเรียนหรอก งานมันสเกลใหญ่เกินสำหรับคนคนเดียว ทำให้งานมันไม่มีคุณค่า ยังไงเวลาทำงานจริงงานใหญ่คุณไม่มีทางได้ทำคนเดียว จริงๆรู้ไว้มันก็ดี แต่ผมว่าไม่น่าให้เด็กไปเสียเวลาในการรีเสิช ในเมื่อมันมีเวลาแค่ 5 ปี ผมว่าคณะน่าจะเน้นไปทาง design มากกว่า โรงพยาบาลคุณทำไปก็รู้ไม่จริงหรอก แค่จัดการกับความสัมพันธ์กับ Circulation ได้ก็เยอะแล้ว

ผมว่า School of Architecture มันควรจะเป็นอะไรที่ Creative นะ เพราะจบมายังไงชีวิตคุณก็ต้องมาเจออะไรที่ยุ่งยากอยู่แล้ว ผมว่าบางอย่างไม่ต้องเจอก่อนวัยหรอก เดี๋ยวออกมาคุณก็ค่อยเจอเอง ไม่งั้นผมว่าคุณจะ Creative ไม่ค่อยออกเหมือนมีกฎเกณฑ์มากเกินไป ผมว่าคณะน่าจะเพิ่มเรื่อง Design มากขึ้นนะ
จริงๆเรื่องโครงสร้างก็เป็นการ ออกแบบโครงสร้างได้ มันเป็นเรื่องที่ Create ได้ประมาณนึงเลย ผมว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามมันก็ Create ได้นะ

ต้องขอขอบคุณพี่ต่อมากค่ะสำหรับบทสัมภาษณ์ และข้อคิดดีดีในการประกอบวิชาชีพ
ขอบคุณมากค่ะ